วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ข้อสอบเคมี

ข้อสอบพร้อมเฉลยเรื่องธาตุและสารประกอบในอุตสาหกรรม

1. โรงงานถลุงพลวงและสังกะสีมีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมจากสาเหตุใดมากที่สุด
1. น้ำเสียและสารพิษปนเปื้อน
2. แก๊ส CO2
3. เขม่า หมอก ฝุ่น
4. SO2


2. ข้อใดเป็นแร่ที่แบ่งตามประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
1. แร่ประกอบหิน
2. แร่อุตสาหกรรม
3. แร่เชื้อเพลิง
4. ถูกทั้ง ก และ ข


3. แร่ชนิดใดที่สามารถนำมาใช้ได้เลย โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการถลุง
1. เหล็ก
2. ดีบุก
3. ควอตซ์
4. สังกะสี 


4. สารประกอบชนิดใดที่ใช้ในการถลุงแร่
1. ถ่านพีต
2. ถ่านหินลิกไนต์
3. ถ่านโค้ก
4. ถ่านแอนทราไซต์


5. แร่ที่จะนำไปใช้ได้จะต้องผ่านกรรมวิธีถลุงเสียก่อน คือ
1. เพชร ทองแดง เหล็ก
2. ดีบุก ปูนขาว ยิบซัม
3. เพชร ไพลิน รัตนชาติ
4. เหล็ก ทองแดง ดีบุก


6. ถ้านำแร่แคสซิเทอไรด์มาถลุงจะได้อะไร
1. ดีบุก
2. สังกะสี
3. ทองแดง
4. ตะกั่วส่วนบนของฟอร์ม


7. สารปนเปื้อนที่พบในแร่สังกะสีคือสารใด
1. แคดเมียม ตะกั่ว พลวง
2. แทนทาลัม ไนโอเบียม เซอร์โคเนียม
3. ตะกั่ว แทนทาลัม 
4. พลวง แคดเมียม ทองแดง


8. ในอุตสาหกรรมนิยมใช้ธาตุใดไปรีดิวซ์ Ta2O5 และ Nb2O5 ให้เป็นโลหะ Ta และโลหะ Nb
1. โซเดียม
2. โพแทสเซียม
3. แคลเซียม 
4. แมกนีเซียม


9. ข้อใดเป็นความแตกต่างของทับทิมและไพลิน
1. ความแข็ง
2. มลทิน 
3. ชนิดของแร่
4. ดัชนีหักเห


10. ธาตุในข้อใดที่ใช้ในอุตสาหกรรมเซรามิกส์
1. Pb
2. Sb
3. Cd
4. Zr

เฉลย

1. 4. SO2
2. 4. ถูกทั้ง ก และ ข

3. 3.ควอตซ์
4. 3.ถ่านโค้ก
5. 4. เหล็ก ทองแดง ดีบุก
6. 1.ดีบุกส่วนบนของฟอร์ม
7. 4.พลวง แคดเมียม ทองแดง
8. 3.แคลเซียม
9. 2.มลทิน
10. 4. Zr


วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน

ปัญหาสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน
              ในปัจจุบันสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ทั้งภายในประเทศและในท้องถิ่นมีแนวโน้มถูกทำลายเพิ่ม มากขึ้น ในขณะเดียวกัน สิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม (ที่มนุษย์สร้างขึ้น) กลับเพิ่มมาแทนมากขึ้นเป็นลำดับทั้งนี้เนื่องจาก ในปัจจุบันจำนวนประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการประดิษฐ์และพัฒนาเทคโนโลยี มาใช้อำนวยประโยชน์ต่อมนุษย์เพิ่มมากขึ้น ผลจากการทำลายสิ่งแวดล้อม ทางธรรมชาติ ส่งผลกระทบต่อ มนุษย์หลายประการ เช่น ปัญหาการแปรปรวนของภูมิอากาศโลกการร่อยหรอ ของทรัพยากรธรรมชาติภัยพิบัติมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น มลพิษสิ่งแวดล้อมขยายขอบเขต กว้างขวางมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรง ต่อการดำรงอยู่และการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของมนุษย์ เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวทุกคนจึงต้อง ตระหนักถึง ปัญหาร่วมกัน โดยศึกษาถึงลักษณะของปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น ตลอดจนแสวงหาแนวทางในการ ป้องกันเพื่อแก้ปัญหา


ผลกระทบที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีที่มีต่อสิ่งแวดล้อม


เทคโนโลยี คือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยประโยชน์หากนำมาใช้อย่างไม่ระมัด
ระวังก็จะส่งผล กระทบต่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในระยะที่ผ่าน
มามนุษย์ได้พัฒนาเทคโนโลยี มาใช้ประโยชน์ในทุก ๆ ด้าน แต่ในทางตรงกันข้าม ผล
จากการใช้อย่างขาดสติก็ได้ส่งผลกระทบต่อทั้งมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน ดังนี้


1. ผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติอันเป็นปัจจัยสำคัญ ในการ ดำรงชีวิตของทั้ง มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งมวลถูกทำลาย และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คือ


(1) การสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติ ได้แก่
- การสูญเสียทรัพยากรดิน เกิดปัญหาการพังทลายของดิน ดินเสื่อมคุณภาพ อันเป็นผล
จากการใช้เครื่องจักรกลทางการเกษตร การใช้สารเคมีในการเกษตร
- การสูญเสียทรัพยากรน้ำ เช่น แหล่งต้นน้ำลำธารถูกทำลาย ปัญหาภัยแล้ง ปัญหาน้ำ
เน่าเสีย การทิ้งสิ่งปฏิกูลที่ย่อยสลายได้ยาก และปล่อยสารเคมีลงสู่แหล่งน้ำ
- การสูญเสียทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าอันเนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ใน
การทำลายป่าอันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า
- การสูญเสียทรัพยากรแร่ธาตุ และพลังงานจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้มีการนำทรัพยากรแร่ธาตุมาใช้อย่างแพร่หลายโดยเฉพาะพลังงาน ปีหนึ่ง ๆ ต้อง
สูญเสีย งบประมาณในการ จัดหาพลังงานมาใช้เป็นจำนวนมหาศาล


(2) สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ
หลังจากที่สิ่งมีชีวิตก่อกำเนิดขึ้นบนโลก จากนั้นได้วิวัฒนาการเพิ่มจำนวนและชนิด
มากขึ้นเป็นลำดับ ต่อจากนั้น ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม ตามธรรมชาติ
ทำให้สิ่งมีชีวิตมีแนวโน้มสูญพันธุ์อย่างช้า และมีการคาดการณ์ว่าสิ่งมีชีวิต จะมีอัตรา
การสูญพันธุ์ เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1,000 เท่า


(3) การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก กิจกรรมของมนุษย์หลายประการมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศ ซึ่งจะส่งผลต่อ
มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ดังนี้


การเกิดภาวะเรือนกระจก (Greenhouse Effect) สาเหตุสืบเนื่องมาจากการสะสมของ ก๊าซที่มีคุณสมบัติในการดูดซับความร้อนจาก
ดวงอาทิตย์ เช่น ก๊าซคาร์บอน ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง ที่เป็นซากสิ่งมีชีวิต
และก๊าซมีเทนซึ่งเกิดจากการเน่าเปื่อยของสิ่งมีชีวิตเป็นต้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการตั้ง
ถิ่นฐานมนุษย์ เนื่องจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ระบบนิเวศจะเปลี่ยนแปลงจากภาวะปัจจุบัน
บรรยากาศโอโซนถูกทำลาย ในปัจจุบันได้เกิดภาวะที่รุนแรงขึ้นกับโลก และกำลังมี ผล
กระทบต่อสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่บนโลกทั้งบนบก และในทะเลคือ การที่รังสีอัลตราไวโอเลตส่องผ่าน ชั้นบรรยากาศลงสู่พื้นโลกมากเกินไป เนื่องจากบรรยากาศ
ชั้นโอโซนถูกทำลาย


(4) เกิดปัญหามลพิษสิ่งแวดล้อม
หมายถึง ของเสียหรือสิ่งแปลกปลอมที่ปนเปื้อน และก่อให้ เกิดอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งประกอบด้วยมลพิษจากแหล่งชุมชน มลพิษจากแหล่งอุตสาหกรรม และมลพิษ จาก
แหล่งเกษตรกรรม


2. ผลกระทบจากการใช้เทคโนโลยีที่มีต่อสิ่งแวดล้อมทางสังคม นอกจากจะส่งผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติแล้ว หากนำมาใช้อย่างไม่ระมัดระวังก็จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางสังคม และวัฒนธรรมของมนุษย์ได้ เช่น


(1) ปัญหาการเพิ่มประชากรอย่างรวดเร็ว เนื่องมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ หากไม่มีการป้องกันหรือ
แก้ไข ในอนาคตก็จะเกิดปัญหาวิกฤติประชากรได้


(2) สูญเสียความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น เกิดจากความเจริญก้าวหน้า ด้านการคมนาคม ขนส่ง การสื่อสาร ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งคนรุ่นหลัง ไม่มีเวลาในการคัดเลือกสิ่งดี ๆ ของภูมิปัญญาดั้งเดิมมาปรับใช้


(3) สูญเสียความเข้มแข็งของสถาบันทางสังคม สถาบันต่าง ๆ
ทางสังคม เช่น ครอบครัว ชุมชนศาสนาการศึกษามีบทบาทต่อวิถีชีวิตของสมาชิก
ในสังคมน้อยลง สื่อและเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาทำให้เกิด ปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น ปัญหายาเสพติด อาชญากรรม โสเภณี คอร์รัปชัน การว่างงาน

                             จัดทำโดย  :  นายคชากร   เสานรักษ์   เลขที่  2   ชั้น ม.6/1

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สูตรโครงสร้างของสารอินทรีย์

สูตรโครงสร้างของสารอินทรีย์

การเขียนสูตรของสารประกอบอินทรีย์


สูตรโมเลกุล เป็นสูตรที่บอกให้ทราบว่าในสารประกอบนั้นประกอบด้วยธาตุใดบ้างอย่างละกี่อะตอม ซึ่งไม่เป็นที่นิยมเขียนสูตรชนิดนี้ เช่น CH4 , C6H14 , C6H6O เป็นต้น



สูตรโครงสร้าง เป็นสูตรที่บอกให้ทราบว่าในโมเลกุลของสารประกอบนั้น ประกอบด้วยธาตุใด           บ้างอย่างละกี่อะตอม แต่ละอะตอมยึดเหนี่ยวกันอย่างไร มีหลายแบบ ดังนี้


สูตรโครงสร้างแบบเส้น (Expanded form)


สูตรโครงสร้างแบบย่อ (Condensed form)

สูตรโครงสร้างแบบเส้นและมุม (Bond - line form)

เป็นการเขียนสูตรโครงสร้างโดยใช้เส้นขีด (-) แทนอิเล็กตรอน 2 ตัว หรือ 1 คู่ในการเขียนแสดงพันธะ  โคเวเลนต์ เช่น

สูตรโครงสร้างแบบเส้น




สูตรโครงสร้างแบบย่อ (Condensed form)

เป็นสูตรโครงสร้างที่ไม่แสดงเส้นพันธะเดี่ยวระหว่างไฮโดรเจนกับคาร์บอน โดยจะใช้วงเล็บย่อตัวที่เหมือนกันไว้ด้วยกัน เช่น


สูตรโครงสร้างแบบเส้นและมุม (Bond-line form)

เป็นสูตรโครงสร้างที่ไม่แสดงธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจน แต่จะแสดงเส้นพันธะระหว่างคาร์บอน  และไฮโดรเจนเท่านั้น


วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วิสัยทัศน์สังคมไทยในปัจจุบัน

สภาพปัญหาสังคม


จากความสำเร็จของการพัฒนาในช่วง ๕๐ ปีที่ผ่านมาครั้นถึงพ.ศ. ๒๕๔๐ สิ่งที่ควบคู่มา กับความสำเร็จกลับกลายเป็นปัญหาที่สะสมพอกพูนตามมาและ เพิ่มมากยิ่งขึ้น

ขณะนี้กลายเป็นปัญหาอันใหญ่ของสังคมไทยยุคโลกภิวัตน์ ปัญหาอันยิ่งใหญ่ตาม คือ ปัญหาด้านสังคม จนอาจสรุปเป็นข้อความสั้น ๆ แต่น่าคิดอย่างยิ่งว่า
"เศรษฐกิจก้าวหน้า สังคมมีปัญหา การพัฒนาไม่ยั่งยืน"


ยิ่งพัฒนาด้านเศรษฐกิจให้ก้าวหน้ามากเท่าใด และความเจริญด้านวัตถุมีมากเท่าใดสภาพด้านจิตใจกลับเสื่อมลง จิตใจคนสับสน ว้าเหว่ คนขาดที่พึ่งทางใจครอบครัวที่เคยเข้มแข็งกลับอ่อนแอ แตกแยก ชุมชน หมู่บ้าน ที่เคยเข้มแข็งก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน


ประเด็นปัญหาสังคมที่สำคัญสรุปสั้น ๆ ดังนี้

๑. ประเทศไทยมีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทางด้านวัตถุ แต่เกิดความเสื่อมทางด้านจิตใจ ค่านิยมและสังคมคนไทยประพฤติปฏิบัติที่แสดงถึงความเสื่อมทางจิตใจอย่างเห็นได้ชัดเจนหลายประการ เช่น นิยมวัตถุ นิยมความหรูหราฟุ่มเฟือย ยกย่องคนรวย โดยไม่คำนึงถึงว่าจะร่ำรวยมาได้โดยวิธีใด เกิดการแข่งขันเอารัดเอาเปรียบ ไม่คำนึงถึงคุณธรรม จริยธรรม การเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบนี้นอกจากจะเบียดเบียนกันเองแล้ว ยังเบียดเบียนรุกรานธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย ที่ดิน ป่าไม้ แม่น้ำ สภาพธรรมชาติ ถูกรุกราน ยึดครอง ถูกทำลาย สภาพน้ำเน่าเสีย สภาพคนจนอยู่ใน สลัมท่ามกลางตึกสูงอันหรูหราใหญ่โต สภาพความยากจนแร้นแค้นของคนในชนบท และสภาพเสื่อมโทรมทางสังคม อันเกิดจากความเสื่อมทางจิตใจมีมากยิ่งขึ้น จะเห็นได้จากปัญหายาเสพติด โสเภณี โรคเอดส์และปัญหาอื่น ๆรวมถึงการละเลยด้านศาสนา และประเพณีเป็นต้น
๒. ปัญหาอื่น ๆ ที่สืบเนื่องจากความเสื่อมทางด้านจิตใจและค่านิยม คือ

๒.๑ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงอย่างมากและอย่างรวดเร็ว
๒.๒ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจนมีมากยิ่งขึ้น คนรวยมีเพียงจำนวนเล็กน้อย แต่เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติมากมาย ทำให้คนจนส่วนใหญ่ที่จนอยู่แล้วกลับยิ่งยากจนลงไปกว่าเดิมอีก
๒.๓ ความเจริญกระจุกอยู่แต่ในเมืองไม่ได้กระจายออกไป ทำให้คนชนบทอพยพเข้าสู่เมืองเกิดปัญหาตามมาทั้งในชนบทและในเมือง
๒.๔ระบบราชการขาดประสิทธิภาพ เพราะปรับสภาพไม่ทันกับปัญหาสังคมที่ซับซ้อนในเมืองหลวงและในชนบท
๒.๕คนไทยส่วนใหญ่พื้นฐานการศึกษายังน้อย ปรับตัวไม่ทันเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เข้ามาสู่ประเทศไทยโดยเฉพาะเรื่องข้อมูลข่าวสาร และเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์เป็นต้น
๓.วิกฤตการณ์ทางการเมือง หมายถึง ระบบการเมืองของ ไทยอันเป็นแบบแผน ของสังคมในการปกครองประเทศ และดูแลทุกข์สุขของประชาชนให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข ขณะนี้การเมืองไทยมีปัญหาถึง ๘ ประการ คือ

๓.๑ ใช้เงินเป็นใหญ่
๓.๒มีการผูกขาดการเมืองโดยคนจำนวนน้อย
๓.๓ คนดีมีความสามารถเข้าไปสู่การเมืองได้ยาก
๓.๔ การทุจริตประพฤติมิชอบมีอยู่ในทุกระดับ
๓.๕ การเผด็จการโดยระบอบรัฐสภา
๓.๖ การต่อสู้ขัดแย้งเรื้อรังและความไร้เสถียรภาพทางการเมือง
๓.๗ การขาดประสิทธิภาพทางการบริหารและนิติบัญญัติ
๓.๘ การขาดสภาวะผู้นำทางการเมือง

๔. วิกฤตการณ์ในระบบราชการ หมายถึง ระบบราชการอันเป็นเครื่องมือปัญหาสังคมไทยกลับกลายเป็นปัญหาเสียเอง เช่น ปัญหาความเสื่อมศักดิ์ศรีของระบบราชการ ทำให้คนดีคนเก่งหนีระบบราชการ ปัญหาคอรัปชั่นในวงราชการปัญหาคุณธรรม เป็นต้น
๕.วิกฤตการณ์ของการศึกษา หมายถึง การศึกษาของไทยอัน เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาของสังคมไทยกลายเป็นตัวปัญหาเสียเอง เช่นการเรียนแบบท่องจำเนื้อหาไม่ทันต่อความรู้ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ปัญหาการแก่งแย่งแข่งขัน ปัญหาระบบการศึกษา การบริหาร การกระจายโอกาสการศึกษา รวมถึงการศึกษาของสงฆ์ก็มีปัญหาด้วยประมวลสรุป

สภาพปัญหาของเยาวชนไทย
ถ้ามองถึงปัญหาของเยาวชนไทยจะต้องยอมรับเสียก่อนว่าเยาวชนไทยส่วนใหญ่เป็นคนดี เป็นพลเมืองดีของชาติ แต่ผู้ใหญ่คาดหวังจะให้เขาเป็นคนดียิ่งขึ้นไปอีกและมีเยาวชนอีกจำนวนหนึ่งมีปัญหา ซึ่งคำว่าจำนวนหนึ่งนี้เมื่อเทียบกับเยาวชนทั้งประเทศ เยาวชนที่มีปัญหาก็นับจำนวนเป็นล้านทีเดียว
จากลักษณะของเยาวชนไทยที่มีจำนวนมากเช่นนี้ หากจะทำความเข้าใจและให้ความสนใจเยาวชน ก็ควรเข้าใจว่าเยาวชนแยกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ซึ่งแบ่งแยกตามลักษณะสังคมอยู่แล้ว คือ

๑. กลุ่มเยาวชนที่อยู่ในสถานศึกษา โรงเรียนเริ่มตั้งแ ต่นักเรียนชั้นมัธยมเรื่อยไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย เยาวชนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นคนดี ใฝ่ศึกษาหาความรู้ มีความรู้ สนใจสิ่งที่อยู่รอบตัวและสนใจเรื่องราวทั้งที่อยู่ใกล้ตัว ไกลตัว รวมไปถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เป็นกลุ่มที่มีกิจกรรรมและความสนใจหลากหลาย

๒. กลุ่มเยาวชนที่อยู่ในชุมชน ในหมู่บ้านหนึ่งหรือชุมชนหนึ่ง จะมีเยาวชนอยู่จำนวนไม่น้อยทีเดียว เยาวชนเหล่านี้จะมีลักษณะที่หลากหลายปะปนกัน เยาวชนจำนวนหนึ่งออกไปทำงานนอกบ้านแล้วกลับมาตอนเย็น บางกลุ่มทำงานช่วยพ่อแม่อยู่บ้าน บางกลุ่มอยู่บ้านเฉย ๆ บางกลุ่มก็เข้ามาอยู่ในชุมชนอย่างแอบแฝง ดังนั้นเยาวชนกลุ่มนี้จึงมีลักษณะหลากหลาย มีตั้งแต่เยาวชนผู้นำรวมกลุ่มทำกิจกรรมให้แก่สังคมอย่างเข้มแข็ง เป็นกำลังสำคัญของหมู่บ้านรองจากผู้ใหญ่รวมไปถึง พวกอยู่เฉย ๆ กินเหล้าเมายา ลักเล็กขโมยน้อย รวมไปถึงติดยาเสพติด และเรื่องอื่น ๆ ด้วย

๓. กลุ่มเยาวชนที่อยู่ในสถานประกอบการ เยาวชนกลุ่มนี้มีตั้งแต่เด็กที่เพิ่งจบชั้นประถมปีที่ ๖ แล้วก็ เข้าไปรับจ้างขายแรงงาน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเยาวชนวัยกำลังหนุ่มสาว อายุระหว่าง ๑๘ ปี ไปจนถึง ๒๕ ปี ซึ่งถือว่าเป็นเยาวชนเต็มตัว คนวัยหนุ่มสาวนี้จะไปทำงานรวมตัวกันอยู่ตามเมืองใหญ่ ๆ หรือเมืองอุตสาหกรรม เช่น กรุงเทพ ฯ ระยอง อยุธยา นครราชสีมา เป็นต้น เยาวชนดังกล่าวพื้นฐานความรู้ส่วนใหญ่จบแค่ ป. ๖ ต้องจากบ้านที่คุ้นเคยกับชีวิตชนบท แบบชาวไร่ชาวนามาใช้ชีวิตแบบอุตสาหกรรม ต้องทำงานตรงตามเวลาเข้าทำงาน เวลาเลิกงาน ได้ค่าจ้างที่ไม่มากทำงานหนัก ต้องทำงานนอกเวลาเพิ่มเพื่อให้ได้เงินมากขึ้น อาหารการกินจำกัด ที่อยู่คับแคบ เวลาพักผ่อนน้อย ว่างเพียงวันอาทิตย์วันเดียว จะรีบออกไปเที่ยวพักผ่อนตามศูนย์การค้าหรือสวนสาธารณะ มีปัญหาทางจิตใจ ปัญหาทางเพศ จับคู่อยู่กันแบบผัวเมียเร็ว มีลูก เกิดปัญหา เกิดการแตกแยก รวมถึงเรื่องปัญหายาเสพติด เป็นต้น

๔. เยาวชนในวัด กลุ่มนี้มีทั้งสามเณร รวมไปถึงเด็กวัดและคนอาศัยวัดอยู่ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน บวชเณรเพื่อหนีความยากจนและเบื่อเรียนหนังสือ ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนผู้ใฝ่ดี แต่ขาดแคลนทุกอย่าง มีความเหงาว้าเหว่ทางใจ โดยเฉพาะเด็กวัด การขาดหรือความไม่เท่าเทียมคนอื่นทำให้ขาด ความมั่นใจ หรือมิฉะนั้นก็จะหันไปในทางที่ผิด
ปัญหาเยาวชนแยกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ
๑. ปัญหาร่วม หมายถึง ปัญหาที่มีอยู่แล้ว สังคมสร้างปัญหา ผู้ใหญ่สร้างปัญหาเยาวชนอยู่ในสังคมก็ได้รับปัญหานั้น ซึ่งจะโทษเยาวชนคงไม่ได้ ปัญหาร่วมที่สำคัญจะยกตัวอย่างให้เห็น ดังนี้
๑.๑ ปัญหาเรื่องบุหรี่ เหล้า การพนัน การกินเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่สร้างขึ้นมาทำขึ้นมา และผู้ใหญ่ก็ปฏิบัติกันอยู่แล้ว เยาวชนเห็นตัวอย่างก็กิน สูบและเสพเหมือนผู้ใหญ่
๑.๒ ปัญหาแหล่งบันเทิง ผับ บาร์ ดิสโก้เธค สถานอาบ อบ นวด ซ่อง สิ่งเหล่านี้มีทั่วไปในสังคมไทย แม้บางอย่างกฎหมายกำหนดไว้ในทางปฏิบัติก็มีการปล่อยให้เยาวชนเข้าเสพได้อย่างเสรี
๑.๓ ปัญหาเรื่องภาพยนต์โป๊ หนังสือโป๊ หรือเรื่องโป๊เปลือยร่างกาย เรื่องทางเพศดังกล่าว เยาวชนเข้าถึงได้โดยไม่มีข้อจำกัด เช่นเดียวกับผู้ใหญ่
๑.๔ ปัญหายาเสพติด ยาบ้า ยาอี เฮโรอีน และอื่น ๆ สิ่งเสพติดดังกล่าวมีอยู่แล้วในสังคมและผู้ใหญ่ก็เสพอยู่แล้ว เยาวชนก็ทำได้เช่นกัน
๑.๕ ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบ การโกงกิน คอรัปชั่นของนักการเมือง พ่อค้า ข้าราชการ รวมไปถึงเรื่องการฝ่าฝืนกฎหมาย ระเบียบสังคม สิ่งเหล่านี้ปรากฏอยู่ทั่วไป เยาวชนย่อมทำตามและสร้างปัญหาเช่นเดียวกับผู้ใหญ่
๒. ปัญหาเฉพาะของเยาวชน ปัญหาเฉพาะดังกล่าวนี้ก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ แก่เยาวชนอีกมาก ลักษณะของปัญหาเกิดจากลักษณะเฉพาะของความเป็นเยาวชนนั่นเอง ซึ่งกล่าวแต่เพียงประเด็นสำคัญพอเป็น แนวพิจารณา ดังนี้
๒.๑ ปัญหาเฉพาะของเยาวชนอันเกิดจากความอยากรู้ อยากเห็น อยากทดลอง ปัญหาอยากต่าง ๆ ที่กล่าวนี้เป็นต้นเหตุของปัญหาอื่น ๆ เช่น อยากทดลองเหล้า บุหรี่ ยาเสพติด ทดลองเป็นคู่นอนกัน ทดลองขับรถแข่งกัน ยังมีการอยากทดลองขับแข่งรถ ยังมีการอยากการทดลองอย่างอื่นอีกมาก ล้วนให้เกิดปัญหาตามมาทั้งสิ้น
๒.๒ ปัญหาตามเพื่อนหรือปัญหาติดกลุ่ม ช่วงวัยรุ่นเป็นช่วงที่ทำตามเพื่อนเป็นใหญ่จึงเกิดปัญหาอื่นตามมา เช่น เพื่อนเข้าบาร์ก็เข้าด้วย เพื่อนใส่กระโปรงสั้นก็ใส่ด้วย เพื่อนร้องเพลงฝรั่งก็ร้องด้วยเพื่อนกินไก่เค้นตักกี้ กินพิซ่า ก็ทำตามด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อน ๆ ไม่เข้าวัดก็ไม่เข้าด้วย
๒.๓ ปัญหาความว้าเหว่ ความเหงา ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของวัยรุ่น เหงาเพราะขาดเพื่อนไม่ได้ มีอะไรไม่เท่าเพื่อน ทำให้ไม่พอใจในฐานะตัวเอง เกลียดพ่อแม่พาลหนีออกจากบ้านไปเข้ากลุ่มเพื่อน เหงาหรือว้าเหว่เพราะไม่มั่นใจในตัวเองก็ออกแสวงหาความมั่นใจทั้งในทางที่ถูกและทางที่ผิด ใครห้ามก็ไม่ฟังทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมาอีกมากมาย
๒.๔ ปัญหาการขาดการอบรมกล่อมเกลาขาดความใกล้ชิดสนิทสนม ทั้งจากครอบครัวทั้งจากสังคมแวดล้อม จากสังคม เช่น สนามกีฬาที่ออกกำลังกายไม่มี ที่พักผ่อนหย่อนใจไม่มี ที่จัดกิจกรรมต่าง ๆ ตามความสนใจไม่มี โดยเฉพาะเมืองใหญ่ ๆไม่มีสิ่งเหล่านี้
ด้านครอบครัวเช่น พ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก ไม่เคยใกล้ชิดลูก ไม่เคยแนะนำกล่อมเกลาหรือเป็นตัวอย่างที่ดี เหล่านี้ล้วนเป็นพื้นฐานของการขาดความสัมพันธ์สืบเนื่องกัน ความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นการสืบทอดความคิด ความเชื่อ ประเพณี แนวปฏิบัติต่อตนเองและสังคม การขาดทั้งสองเรื่องดังกล่าวทำให้เยาวชนสร้างปัญหาให้ตัวเองและสังคม เพราะเยาวชนเป็นวัยที่กำลังใฝ่หาแบบอย่างจากผู้ใหญ่และจากสังคม
จุดอ่อน จุดแข็ง ของเยาวชนไทยในยุคโลกาภิวัตน์
๑. จุดแข็งของเยาวชนไทย
๑.๑ เป็นคนมีเหตุผล ความมีเหตุผลนี้จะทำให้พฤติกรรมกล้าถาม กล้าตอบ กล้าโต้เถียง ซึ่งผู้ใหญ่จะมองว่าหัวแข็ง ไม่มีสัมมาคารวะ แต่ ลักษณะมีเหตุมีผลนี้เป็นคุณสมบัติที่เหมาะกับโลก ปัจจุบัน อันเป็นยุคโฆษณา
๑.๒ เป็นตัวของตัวเอง ความเป็นตัวของตัวเองคืออยากทำอะไรก็ทำที่ตัวเองเห็นว่าดีถูกต้อง เช่น การยืน การพูด ถกเถียง การแต่งตัว แม้แต่การเข้าไปในวัด คุยกับพระ หากผู้ใหญ่ไม่เข้าใจความเป็นตัวของวัยรุ่นก็จะตำหนิหรือหาว่าไม่มีมารยาท ไม่มีสัมมาคารวะ
๑.๓ ความกล้า ความสนใจกว้างกว่า การก้าวทันวิทยาการใหม่ ๆ วัยรุ่นเป็นคนรุ่นใหม่จะกล้ามากกว่าเดิม กล้าเรียน กล้าทำงาน กล้าเป็นนักร้อง กล้าเป็นนางแบบ รู้เรื่องคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนท รู้ความเคลื่อนไหว ความเป็นไปต่าง ๆ ของสังคม และโลก ทั้งที่ใกล้และไกลตัว 
๒. จุดอ่อนของเยาวชนไทย

๒.๑ ความอ่อนแอในเชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบไทยอันเนื่องมาจากชีวิตครอบครัว ลักษณะสังคมไทยเปลี่ยนไปมาก พ่อแม่ไม่มีเวลาสั่งสอนอบรมลูกน้อยลง เยาวชนเข้าเรียนหนังสือในชีวิตอยู่ในโรงเรียนตั้งแต่วัยเยาว์ โรงเรียนไม่สามารถอบรมกล่อมเกลาเยาวชนในด้านวัฒนธรรมและวิถีชีวิตได้เท่าเทียมกับพ่อแม่และชุมชน หรือจะกล่าวง่าย ๆ คือ วัด บ้าน โรงเรียน แยกส่วนกันไม่เป็นสังคมที่กลมกลืนกัน การหล่อหลอม อบรม สืบทอดวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบไทยก็อ่อนด้อยไป ยิ่งเยาวชนที่อยู่ในวัยทำงานต้องจากครอบครัวไปอยู่ต่างถิ่น อยู่ในสังคมโรงเรียน ยิ่งเกิดการแตกแยก ทั้งทางด้านจิตใจและการดำเนินชีวิต ความอ่อนแอในทางวัฒนธรรมทำให้ขาดจุดยืน ขาดความมั่นใจ ขาดการใคร่ครวญและรับหรือไม่รับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบได้ง่าย เกิดความสับสนในการดำเนินชีวิตแบบไทยที่เหมาะสมถึงสภาพปัจจุบัน เยาวชนจำนวนไม่น้อยเห่อเหิม ฟุ่มเฟือย หนักไม่เอาเบาไม่สู้ หลงวัตถุ หลงเงินตรา ก่อปัญหาให้ตัวเองและสังคม
๒.๒ ความว้าเหว่ เปล่าเปลี่ยว สับสนวุ่นวายทาง สภาพครอบครัว สภาพสังคมที่สับสน สภาพการแข่งขัน สภาพชิงดีชิงเด่น เอารัดเอาเปรียบ ทำให้จิตใจของเยาวชนจำนวนไม่น้อยเกิดความสับสนวุ่นวาย ยิ่งวัยรุ่นเป็นวัยที่ติดเพื่อนพลอยทำให้ตัดสินใจอะไรพลาดพลั้งได้ง่าย ยิ่งประเภทพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูกหรือครอบครัวมีปัญหา ครอบครัวแตกแยก หรือการออกไปทำงานต่างถิ่นยิ่งเสี่ยงต่อการตัดสินใจในทางที่ผิดก่อปัญหาต่อตัวเองและสังคม

จุดอ่อนของเยาวชนทั้ง ๒ ข้อ เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด ก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาที่น่าสังเกต ก็คือ เป็นเรื่องของจิตใจอันเป็นผลให้คนดำเนินชีวิตไปทั้งในทางชั่วและทางดี เรื่องการนำและอบรมทางใจนี้ พระสงฆ์ย่อมมีบทบาทสูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัย
สิ่งที่เยาวชนสับสนและอยากได้คำตอบมากที่สุด
๑. ความจริงของชีวิต เกิดมาทำไม ความจริงของโลก จักรวาล คืออะไร
๒. อะไรคือความชั่ว อะไรคือความดี คนทำชั่วทำไมจึงได้ดี ทำไมจึงมีเกียรติ ทำไมจึงร่ำรวย คนทำดีทำไมจึงยากจน คนซื่อสัตย์สุจริตทำไมจึงถูกโกง ถูกเอารัดเอาเปรียบ
๓. ค่านิยมที่ดีคืออะไร คนที่เรียบร้อย อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนทำไมเพื่อนจึงกล่าวหาว่าหัวอ่อน, คนที่เปลือยผ้าถ่ายรูป มีรายได้สูง มีคนนิยมชมชอบ เป็นค่านิยมที่ดีหรือไม่ , คนที่คดโกงมีความร่ำรวย มีอิทธิพล ได้เป็นรัฐมนตรีปกครองคน เป็นผู้นำประเทศ เป็นค่านิยมที่ดีหรือเลว เหล่านี้เป็นคำถามในใจเยาวชน
๔. วิกฤตการณ์ด้านจิตใจ อันหมายถึง ความสับสนยุ่งเหยิงทางใจที่เป็นข้อขัดแย้ง เป็นคำถามในใจของเยาวชนตลอดเวลา เช่น ทำไม ตุ๊ด ดี้ จึงดังในจอทีวี คนนิยมชมชอบ ทำไมตำราจ ทางหลวงจึงเก็บส่วยจากรถบรรทุก สร้างความร่ำรวยให้ตัวเองได้ ทำไมผู้ใหญ่รณรงค์ให้เยาวชนรักษาความสะอาด ฟุตบาทจึงเต็มไปด้วยแผงขายอาหาร ขายของสกปรกจนไม่มีที่เดิน ทำไมคนหนุ่มสาวผู้ใช้แรงงานจึงถูกเอาเปรียบค่าแรง แล้วทำไมจึงให้ต่างชาติเข้าเมืองผิดกฎหมาย มาขายแรงงานราคาถูกไม่ถูกจับ คำว่าทำไม ๆ ๆ ๆ เยาวชนนี้มีมากมาย เกิดวิกฤตทางจิตใจตลอดเวลา

สาเหตุหลักของสภาพปัญหาสังคมไทย

สภาพปัญหาเยาวชนไทยยุคโลกาภิวัตน์ทั้งหลายทั้งปวงมาจากความสับสนวุ่นวายทางจิตใจ จิตใจเยาวชน ไม่มั่นคง
ไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึดมั่น องค์กรของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาโดยตรง เช่นสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
กระทรวงศึกษาธิการ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีนโยบายในการแก้ปัญหาก็จริง แต่ขาดการปฏิบัติต่อเนื่อง และจริงจัง

ดังนั้นองค์กรทางศาสนา หลักธรรมคำสอน และพระสงฆ์เท่านั้น จะเป็นผู้สร้าง ผู้ชี้ทางและเป็นผู้นำทางทางจิตใจของ
เยาวชนไทย เป็นผู้อธิบายค่านิยมที่ถูกต้อง ผู้อธิบาย ความดี ความชั่ว ความจริงของโลกและความสุขอันแท้จริงของชีวิต
เป็นผู้ชี้นำความสว่าง ความสงบ ทั้งแก่เยาวชน และแก่คนไทยทุกคนให้พบแต่ความสุขความเจริญ แต่นั่นก็หมายถึงว่า
พระสงฆ์เองก็ต้องพัฒนาตนเอง ให้อยู่ในสภาวะที่พร้อมจะช่วยเหลือสังคม แก้ปัญหาสังคม ไม่เป็นปัญหาสังคมเสียเอง

หินน้ำมัน


หินน้ำมัน

v  หินน้ำมัน (oil shale) คือ
                หินตะกอนชนิดหนึ่งที่ประกอบด้วยอินทรียวัตถุในรูปของสารที่เรียกว่า เคอโรเจน (Kerogen) และเคอโรเจนนี้เอง เมื่อถูกทำให้ร้อนด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ประมาณ 500องศาเซลเซียส จะให้น้ำมันและก๊าซไฮโดรคาร์บอนออกมา สำหรับการเกิดของหินน้ำมันนั้น เกิดจากพวกพืชและสัตว์ที่ตายแล้ว ซึ่งได้สะสมรวมกันกับเศษหินดินทรายต่าง ๆ อยู่ในที่ที่เคยเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ทั่วไปมาก่อน เมื่อเวลาได้ผ่านไปนานนับล้านปี พวกอินทรียวัตถุอันได้แก่ ซากพืชและสัตว์ต่าง ๆ ดังกล่าวนั้น ก็จะแปรสภาพเป็นสารคล้ายยางเหนียว ๆ หรือที่เรียกว่า คีโรเจน ส่วนเศษหินดินทรายต่าง ๆ ซึ่งมีสารคีโรเจนอยู่ด้วยนี้ ก็แปรสภาพเป็นหินตะกอนออกสีเข้ม เรียกว่า หินน้ำมัน
                คือ เป็นหินตะกอนเนื้อละเอียดขนาดตั้งแต่หินทรายแป้งลงมา ส่วนใหญ่เป็นหินดินดาน ที่ประกอบด้วยอินทรียวัตถุในรูปของสารที่เรียกว่า เคอโรเจนหรือคีโรเจน (Kerogen) และคีโรเจนนี้เอง เมื่อถูกทำให้ร้อนด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ประมาณ 500 องศาเซลเซียส จะให้น้ำมันและก๊าซไฮโดรคาร์บอนออกมา สำหรับการเกิดของหินน้ำมันนั้น เกิดจากพวกพืชและสัตว์ที่ตายแล้ว ซึ่งได้สะสมรวมกันกับเศษหินดินทรายต่าง ๆ อยู่ในที่ที่เคยเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ทั่วไปมาก่อน เมื่อเวลาได้ผ่านไปนานนับล้านปี พวกอินทรียวัตถุอันได้แก่ ซากพืชและสัตว์ต่าง ๆ ดังกล่าวนั้น ก็จะแปรสภาพเป็นสารคล้ายยางเหนียว ๆ หรือที่เรียกว่า คีโรเจน ส่วนเศษหินดินทรายต่าง ๆ ซึ่งมีสารคีโรเจนอยู่ด้วยนี้ ก็แปรสภาพเป็นหินตะกอนออกสีเข้ม เรียกว่า หินน้ำมัน
                หินน้ำมัน  เป็นหินตะกอนเนื้อละเอียดที่มีการเรียงตัวเป็นชั้นบางๆ  ส่วนใหญ่เป็นหินดินดาน เกิดจากการทับทมของสารอินทรีย์อยู่ในที่ที่เคยเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่หรือทะเลสาบ ซึ่งสะสมรวมกับเศษหินดินทรายต่างๆ และถูกอัดแน่นภายใต้ผิวโลกเป็นเวลาหลายล้านปี มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลไหม้ มีสารประกอบอินทรีย์ที่สำคัญ  คือ เคอโรเจน (Kerogen) แทรกอยู่ระหว่างชั้นหินตะกอน  ซึ่งเมื่อถูกทำให้ร้อนด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งประมาณ 500     องศาเซลเซียส  จะให้น้ำมันและก๊าซไฮโดรคาร์บอนออกมา ซึ่งสามารถนำไปกลั่นเป็นผลิตภัณฑ์น้ำมันหลายประเภทเช่นเดียวกับการกลั่นน้ำมันดิบ
v  สมบัติทางกายภาพ          
   
   
       หินน้ำมันโดยทั่งไปมีความถ่วงจำเพาะ 1.6 – 2.5 หินน้ำมันคุณภาพดีมีสีน้ำตาลไหม้จนถึงสีดำ มีลักษณะแข็งและเหนียวเมื่อนำหินน้ำมันสกัดด้วยความร้อนที่เพียงพอ เคอโรเจนจะสลายตัวให้น้ำมันหินซึ่งมีลักษณะคล้ายน้ำมันดิบ ถ้ามีปริมาณเคอโรเจนมากก็จะได้น้ำมันหินมาก การเผาไหม้น้ำมันหินจะมีเถ้ามากกว่าร้อยละ 33 โดยมวลในขณะที่ถ่านหินมีเถ้าน้อยกว่าร้อยละ 33
สามารถพบได้ตามแอ่งแผ่นดินยุคเทอร์เชียรี่ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ในตอนบนของประเทศ โดยเฉพาะที่แหล่งแม่ปะใต้ แอ่งแม่สอด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งมีปริมาณสำรอง 390 ล้านตัน จากทั้งแอ่งที่มีปริมาณหินน้ำมันสะสม 620 ล้านตัน



ตัวอย่างหินน้ำมันจากแหล่งแม่ปะใต้ ที่ระดับความลึก 235.5 เมตร 
จากผิวดิน


v  ความแตกต่างระหว่างหินน้ำมันและถ่านหิน
                สิ่งที่หินน้ำมันไม่เหมือนกันกับถ่านหิน คือ หินน้ำมันมีปริมาณของธาตุต่างๆ และเถ้าสูงมาก จึงไม่นิยมนำมาเผาเป็นเชื้อเพลิงโดยตรง แต่จะมีการกลั่นเอาน้ำมันออกมามากกว่า เพราะมีความสะดวกในการกำจัดกากที่เหลือได้สะดวกกว่า
  
v  การเกิดหินน้ำมัน       
                หินน้ำมันแต่ละแหล่งในโลกพบว่ามีช่วงอายุตั้งแต่ 3 - 600 ล้านปี เกิดจากการสะสม และทับถมตัวของซากพืชพวกสาหร่าย และสัตว์พวกแมลง ปลา และสัตว์เล็กๆอื่นๆ ภายใต้แหล่งน้ำ และภาวะที่เหมาะสม ซึ่งมีปริมาณออกซิเจนจำกัด มีอุณหภูมิสูง และถูกกดทับจากการทรุดตัวของเปลือกโลกเป็นเวลานับล้านปี ทำให้สารอินทรีย์ในซากพืช และสัตว์เหล่านั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดเป็นสารประกอบเคอโรเจน ผสมคลุกเคล้ากับตะกอนดินทรายที่ถูกอัดแน่นกลายเป็นหินน้ำมันซึ่งหินน้ำมันจะคล้ายกับหินที่เป็นแหล่งกำเนิดปิโตรเลียม แต่หินน้ำมันมีปริมาณเคอโรเจนมากถึงร้อยละ 40
การตกตะกอนของชั้นสาหร่ายภายในชั้นหินตะกอน   มีการเรียงลำดับดังนี้         
                1.  การอัดตัว (compaction) ที่เกิดจากน้ำหนักกดทับของชั้นหินตะกอนบนทรากสารอินทรีย์
                2.  การระเหยไปของน้ำที่อยู่ในชั้นพีทที่อยู่ระหว่างเศษพืช
                3.  การกดทับต่อไปเรื่อยๆ น้ำก็จะถูกขับออกไปจากโครงสร้างในเซลของพืช
                4.  ผลอันเนื่องมาจากความร้อน และน้ำหนักที่เกิดจากการกดทับ น้ำก็จะถูกขับออกจากโมเลกุลของพืช
                5.  เกิดขบวนการ methanogenesis ซึ่งเป็นการเกิดขบวนการที่สามารถเทียบได้ กับการเผาถ่านไม้ภายใต้ความกดดัน ที่ทำให้เกิดก๊าซมีเทนขึ้นมา ทำให้มีการผลักไฮโดรเจน และคาร์บอนบางส่วนออกไป รวมทั้งออกซิเจนบางส่วนที่ยังเหลืออยู่ (เช่น น้ำ) ออกไป
                6.  เกิดขบวนการ dehydrogenation เป็นการเกิดการย้าย hydroxyl groupsจากเซลลูโลส และโมเลกุลของพืชต่างๆ กลายเป็นผลผลิตของ hydgen-reduced coals
          แต่อย่างไรก็ตาม ความร้อนและความกดดันที่เกิดในขบวนการเกิดหินน้ำมันนี้ ไม่สูงเท่ากับที่ทำให้เกิดปิโตรเลียม บางครั้งหินน้ำมันถูกเรียกว่า "หินที่ไหม้ไฟ ,  the rock that burns"

 

 แต่ในทางธรณีวิทยานั้น หินน้ำมันเกิดจากการตกตะกอนของสารอินทรีย์ในสภาพแวดล้อมที่เป็น
ทะเลสาบ (lake) 
 - ทะเลสาบน้ำกร่อย (lagoon) ที่ถูกปิดล้อมด้วยสันทราย (sand bar) หรือแนวปะการัง (reef) lagoon) ทะเลสาบ และบึงที่ถูกปิดล้อมต่างๆ (oxbow lakes, muskegs) 
           ดังนั้น จึงเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปแล้วว่า หินน้ำมันนั้น เกิดจาการสะสมตัวของทรากสาหร่าย (algal debris) เมื่อพืชเหล่านั้นตายในสภาพแวดล้อมที่เป็นทะเลสาบพีท (peat swamp environments)
  -  ซากสารอินทรีย์ (biomass) เหล่านั้นจึงตกอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีน้ำ โดยไม่มีออกซิเจน (anaerobic aquatic environments) เมื่อปริมาณออกซิเจนที่มีอยู่น้อยมาก จึงช่วยให้สารอินทรีย์ไม่มีการย่อยสลาย (decay) ไปอย่างสมบูรณ์แบบโดยแบคทีเรีย และขบวนการออกซิเดชั่น
                ซากสารอินทรีย์ที่รอดพ้นจากการย่อยสลาย จึงถูกเก็บรักษาไว้กลายเป็นหินน้ำมัน โดยสภาพแวดล้อมดังกล่าว ดำรงอยู่ต่อมาอย่างยาวนาน จนสามารถสร้างชั้นหินตะกอนที่มีการสะสมตัวของสาหร่ายเหล่านั้น

v  หินน้ำมันมีส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ประเภทคือ
 ประเภทที่ 1    สารประกอบอนินทรีย์
ได้แก่ แร่ธาตุต่างๆที่ผุพัง มาจากชั้นหินโดยวิธีการทางกายภาพ และเคมีประกอบด้วย แร่ธาตุที่สำคัญ 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ
กลุ่มแร่ซิลิเกต และกลุ่มแร่   ได้แก่  ควอตซ์  เฟลสปาร์  เคลย์ 
กลุ่มแร่คาร์บอเนต   ได้แก่  แคลไซต์โดโลไมต์
         ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณแร่ธาตุในหินน้ำมัน ตามแต่สภาพการกำเนิด การสะสมตัวของหินน้ำมัน และสภาพแวดล้อม
 ประเภทที่ 2    สารประกอบอินทรีย์
 ประกอบด้วยบิทูเมน และเคอโรเจน
                 บิทูเมน ( Bitumen )  เป็นสารอินทรีย์ที่อยู่ในหินตะกอนเป็นของแข็งหรือค่อนข้างแข็งสามารถละลายสารอินทรีย์ได้  เช่น  เบนซีน เฮกเซน และตัวทำละลายอินทรีย์ชนิดอื่นๆ จึงแยกออกจากหินน้ำมันได้ง่าย
ส่วนเคอโรเจนไม่ละลายในตัวทำละลาย หินน้ำมันที่มีสารอินทรีย์ในปริมาณสูงจัดเป็นหินน้ำมันคุณภาพดี เมื่อนำมาสกัดควรให้น้ำมันอย่างน้อยร้อยละ





               
50 ของปริมาณสารอินทรีย์ที่มีอยู่ แต่ถ้ามีสารอนินทรีย์ปะปนอยู่มากจะเป็นหินน้ำมันที่มีคุณภาพต่ำ





v  กรรมวิธีของการสกัดหรือผลิตน้ำมันจากหินน้ำมัน
             เริ่มต้นด้วยการเปิดผิวดิน เพื่อขุดตักเอาหินน้ำมันออกมาบดให้ได้ขนาด แล้วป้อนไปยังโรงงาน ผ่านกรรมวิธีต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนรูปของสารเคอโรเจนให้กลายเป็นไอของไฮโดร์คาร์บอน ไอของไฮโดรคาร์บอนนี้ก็จะถูกแยกออกไป ทำให้กลายเป็นของเหลว และนำเอาของเหลวที่ได้นำไปทำการกลั่น ณ โรงกลั่นต่อไป
                    กรรมวิธีของการสกัดหรือผลิตน้ำมันจากหินน้ำมัน เริ่มต้นด้วยการเปิดผิวดิน เพื่อขุดตักเอาหิน น้ำมันออกมาบดให้ได้ขนาด แล้วป้อนไปยังโรงงาน ผ่านกรรมวิธีต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนรูปของ
สารคีโรเจนให้กลายเป็นไอของไฮโดร์คาร์บอน ไอของไฮโดรคาร์บอนนี้ก็จะถูกแยกออกไป
ทำให้กลายเป็นของเหลว และนำเอาของเหลวที่ได้นำไปทำการกลั่น ณ โรงกลั่นต่อไปจาก
กรรมวิธีดังกล่าว จะเห็นได้ว่า อุตสาหกรรมการสกัดน้ำมันจากหินน้ำมัน จะก่อให้เกิดปัญหา
สภาพมลภาวะตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของฝุ่นละอองที่ปลิวขึ้นไปสู่บรรยากาศ
และการทิ้งกากหินน้ำมันที่ผ่านกรรมวิธีแล้ว
การทำน้ำมันจากหินน้ำมัน มี แบบ คือ
1.  การทำเหมือง (mining) เป็นการทำเหมืองทั้งแบบเหมืองเปิด และเหมืองใต้ดิน เมื่อได้หินน้ำมันมาแล้ว จึงขนส่งไปยังโรงผลิตน้ำมัน โดยเผาหินน้ำมันที่อุณหภูมิ 450-500 องศาเซลเซียส
2.  in-situ คือการเผาหินน้ำมันที่อยู่ภายในแหล่งใต้ดินโดยตรง โดยการเจาะให้เกิดรอยแตกในหินน้ำมัน แล้วจึงให้ความร้อนเข้าไปในชั้นหินน้ำมัน ทำให้เกิดเป็นก๊าซ และน้ำมันออกมา
บริษัท Shell Oil Company เคยมีการวิจัย ชื่อ Mahogany Research Project โดยการใช้ไฟฟ้าในการให้ความร้อน โดยวิธี in-situ ที่รัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา เมื่อได้ก๊าซ และน้ำมันออกมาจากชั้นหินน้ำมันใต้ดินแล้ว จึงมีการปั๊มผลผลิตขึ้นสู่พื้นดินต่อไป 
                ในการผลิตน้ำมันจากหินน้ำมันมีข้อด้อยคือ  ก่อให้เกิด greenhouse gasมากเป็น 4 เท่า ของการผลิตน้ำมันจากแหล่งปิโตรเลียมคีโรเจนในหินน้ำมันสามารถแยก/นำออกมาได้ ด้วยขบวนการทางเคมีโดยการเผาเพื่อให้ความร้อนเข้าไป (pyrolysis)ระหว่างการเกิดขบวนการ pyrolysis นั้น หินน้ำมันจะถูกเผาด้วยความร้อนที่สูงถึง 450-500 องศาเซลเซียส ภายใต้ภาวะที่ไร้อากาศ ทำให้คีโรเจนกลั่นตัวออกมากลายไปเป็นน้ำมัน และสามารถทำการแยกออกมาได้ ขบวนการนี้เรียกว่า "retorting"  แต่ในบางครั้ง มีการนำเอาหินน้ำมันมาเผาโดยตรง เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงคุณภาพต่ำ (low grade fuel)            




                ปัจจุบันนี้ มีการทำเหมืองหินน้ำมัน ที่ ประเทศแอสโทเนีย รัสเซีย บราซิล และจีน แต่อย่างไรก็ตามการผลิตน้ำมันจากหินน้ำมันนับวันมีแต่จะลดลง เพราะเหตุผลทางด้านเศรษฐศาสตร์ และมลภาวะที่เกิดจากการเผาหินน้ำมันรวมทั้งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ที่เกิดจากการทำเหมืองหินน้ำมันแบบเหมืองเปิดซึ่งมีผลกระทบ เช่นเดียวกับการทำเหมืองเปิดจากทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ

v  แหล่งหินน้ำมัน
                การสำรวจหินน้ำมันในประเทศเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 โดยเริ่มสำรวจแหล่งหินน้ำมันที่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งเป็นแหล่งหินน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน (การสำรวจธรณีวิทยาและการเจาะสำรวจทั่วแอ่งแม่สอด พบว่า ชั้นหินน้ำมันแผ่ปกคลุมพ้นที่ประมาณ 200 ตารากิโลเมตร) นอกจากนี้ยังมีแหล่งถ่านหินที่มีชั้นหินน้ำมันเกิดร่วมอีกด้วยหลายแห่ง  โดยเฉพาะทางภาคเหนือ ได้แก่ แอ่งลี้ จังหวัดลำพูน แอ่งแม้แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่  แอ่งปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน  แอ่งแจ้ห่ม แอ่งแม่ตีบ จังหวัดลำปาง เป็นต้น  และจากการศึกษาวิเคราะห์สกัดหินน้ำมัน พบว่า ให้ปริมาณน้ำมันเฉลี่ยโดยประมาณ 5%โดยน้ำหนัก หรือประมาณ 52 ลิตรต่อหินน้ำมัน เมตริกตัน ส่วนแหล่งหินน้ำมันอื่นๆที่พบในปัจจุบัน และอาจสามารถสกัดและผลิตน้ำมันได้คุ้มค่า ได้แก่ แหล่งหินน้ำมันในสหรัฐอเมริกา ซึ่งครอบคลุมบริเวณของมลรัฐโคโรลาโด ไวโอมิ่ง ยูท่าห์ โดยสามารถให้น้ำมันถึง 240 ลิตรต่อเมตริกตัน แหล่งที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่ง และนับว่าเป็นประเทศที่สามารถผลิตและสกัดน้ำมันจากหินน้ำมันเป็นอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้แก่ แหล่งในประเทศจีน โดยหินน้ำมันสามารถให้น้ำมันได้ถึง 320 ลิตรต่อเมตริกตัน
                ซึ่งปัจจุบันการนำหินน้ำมันมาใช้ประโยชน์มีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง จึงยังไม่เป็นที่นิยมมากนักจากการสำรวจแหล่งหินน้ำมันระหว่างปี 2517 – 2526 พบแหล่งหินน้ำมันจำนวน แห่ง มีปริมาณสำรองทางธรณีวิทยารวมกันไม่น้อยกว่า 11,000 ล้านเมตริกตันและThe United States Office of Naval Petroleum and Oil Shale Reserves ได้ทำการประมาณการปริมาณสำรองหินน้ำมันของโลก ว่ามีน้ำมัน ถึง 1,662 พันล้านบาเรล โดยที่ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้น มี 1,200 พันล้านบาเรลประมาณ 52 ลิตรต่อหินน้ำมัน 1เมตริกตัน

v  การใช้ประโยชน์จากหินน้ำมัน
1.  การใช้หินน้ำมันเป็นเชื้อเพลิงโดยตรง คือ การนำหินน้ำมันมาบดเป็นผงแล้วพ่นเข้าไปใน เตาที่ได้รับการออกแบบโดยเฉพาะเมื่อพ่นเข้าไป แล้วจะเกิดการเผาไหม้โดยตรง       พลังงานความร้อนที่ได้รับจากการเผาไหม้นี้สามารถนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าได้
2.  การนำหินน้ำมันมาสกัดเพื่อให้ได้น้ำมันหินออกมาและนำไปใช้ประโยชน์ได้
3.  กากที่เหลือจากการนำหินน้ำมันมาบด และเผาไหม้ให้พลังงานโดยวิธีในข้อ 1 สามารถนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง เช่น ผสมปูนซีเมนต์ หรืออิฐก่อสร้าง เป็นต้น               
     ในด้านการนำหินน้ำมันมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้านั้นการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ โดย ความร่วมมือของกรมทรัพยากรธรณี กำลังศึกษาความ เหมาะสม และความเป็นไปได้ในการนำหินน้ำมันมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า เพื่อเป็นแหล่งพลังงานทดแทนอีกรูปแบบหนึ่ง ภายหลังจากการเกิดวิกฤติการณ์น้ำมันเมื่อปลายปี 2516  เป็นต้นมา 
                นอกจากนี้หินน้ำมันมาใช้เป็นแหล่งพลังงานได้เช่นเดียวกับถ่านหิน ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19ต่อมามีผู้ศึกษาหาวิธีสกัดน้ำมันจากหินน้ำมันจนสามารถผลิตน้ำมันหินใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆได้นอกจากนี้การทำเหมืองเพื่อผลิตหินน้ำมันเป็นหลักแล้วยังมีผลพลอยได้จากแร่ธาตุส่วนน้อยที่เกิดร่วมกับหินน้ำมันและสารประกอบที่เกิดขึ้นจากกระบวนการสกัดน้ำมันคือ  ยูเรเนียมวาเนเดียม  สังกะสี   โซเดียม  คาร์บอเนตแอมโมเนียม   ซัลเฟตและกำมะถันน้ำมัน และผลพลอยได้เหล่านี้สามารถนำไปใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆหลายชนิดเช่น  ใยคาร์บอนคาร์บอน ดูดซับคาร์บอนลิกอิฐและปุ๋ย
                ข้อคำนึงเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การทำเหมืองหินน้ำมันแบบเหมืองเปิดมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ เช่นเดียวกับการทำเหมืองเปิดจากทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ
                ส่วนในขบวนการกลั่น ก็จะเกิด เถ้า และสิ่งเหลือทิ้งต่างๆ  นอกจากนี้หินน้ำมันยังมีการขยายตัว ถึง 30% หลังจากการเผา ทำให้เกิดกากที่เหลือจำนวนมากมายมหาศาล และในขบวนการดังกล่าวต้องมีการใช้น้ำเป็นจำนวนมาก จึงต้องมีแหล่งน้ำสำรองให้เพียงพอด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามขณะนี้ วิธี in-situ เป็นวิธีที่น่าจะมีความจูงใจที่สุด

คาร์บอนเครดิต(Carbon Credit)


คาร์บอนเครดิต(Carbon Credit) คืออะไร
สืบเนื่องจากพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocal) กำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้วต้องลดประมาณการปล่อยก๊าซที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก หรือกรีนเฮ้าส์เอฟเฟคท์ ซึ่งทำให้เกิดภาวะโลกร้อน เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ ฯลฯ
พิธีสารเกียวโตมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่16 กุมภาพันธ์ 2549 หากประเทศที่ลงนาม เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา ญี่ปุ่น ไม่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกประมาณ 5.2% ในปี 2551-2555 จะมีค่าปรับถึงตันละ 2,000-5,000 บาท
สถิติจากWorld Resources 2005 ระบุว่า
สหรัฐปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดปีละ 5.7 พันล้านตัน
 อันดับ 2 คือจีน 3.4 พันล้านตัน
 อันดับ 3 คือ รัสเซีย 1.5 พันล้านตัน
ญี่ปุ่น 1.2 พันล้านตัน อังกฤษ 558 ล้านตัน
ส่วนไทย 172 ล้านตัน
ดังนั้น"การซื้อขายคาร์บอนเครดิต" จึงเป็นหนึ่งในแนวทางที่กำหนดออกมาพิเศษ เพื่อช่วยให้ประเทศตัวการปล่อยก๊าซพิษไม่ต้องถูกลงโทษ
"คาร์บอนเครดิต" หมายถึง สิ่งทดแทนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาผลาญน้ำมันดิบในโรงงานอุตสาหกรรมหรือยานยนต์ หากประเทศพัฒนาแล้วไม่สามารถลดมลพิษของตนได้อีกต่อไป ก็ต้องใช้วิธีช่วยเหลือประเทศด้อยพัฒนาให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเมื่อลดได้จะกลายเป็นคาร์บอนเครดิตของตนเอง ทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าปรับ  เช่น 
การปลูกป่าไม้ 2.5 ไร่ จะสามารถเก็บคาร์บอนเครดิตได้ 2 ตัน
การใช้พลังงานแสงอาทิตย์แทนน้ำมัน 1 หน่วยจะได้เครดิตประมาณ 0.6 กิโลกรัม
ตัวอย่างเช่นประเทศ A อยู่ในยุโรป ถูกกำหนดให้ลดก๊าซเรือนกระจก 50 ล้านตัน แต่โรงงานอุตสาหกรรมหรือโครงการที่มีในประเทศ A พยายามลดสุดๆแล้ว ลดได้เพียง 30 ล้านตัน จึงต้องไปซื้อคาร์บอนเครดิตจากประเทศกำลังพัฒนามาอีก 20 ล้านตัน ไม่เช่นนั้นจะโดนปรับ ตันละ 3,000 บาทก็ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
ประเทศ  ก จึงติดต่อไปที่ ฟาร์มเลี้ยงหมูขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศ ข เพื่อช่วยสร้างโรงไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ เมื่อสร้างเสร็จทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าฟาร์มหมูลดลงเดือนละ 2 ล้านบาท ถือเป็นการลดจำนวนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม สมมติว่าลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 1 ล้านตัน จำนวนที่ลดได้ จะถูกเรียกว่า "คาร์บอนเครดิต" ซึ่งประเทศ A จะได้คาร์บอนเครดิต 1 ล้านตันไปรวมกับ 30 ล้านตันที่มีอยู่ หรือในอนาคตฟาร์มหมูที่อยู่ใกล้เคียงอาจใช้เทคโนโลยีเดียวกัน มาลงทุนสร้างโรงงานไฟฟ้าก๊าซชีวภาพเอง แล้วขายคาร์บอนเครดิตให้ประเทศ A ก็ได้
ทั้งนี้หน่วยงานหรือบริษัทที่จะซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตได้ ต้องผ่านมาตรฐานตาม "โครงการซีดีเอ็ม" หรือโครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด(Clean Development Mechanism หรือ CDM Project-Carbon Credit)
"คาร์บอนเครดิต" กำลังกลายเป็นธุรกิจซื้อขายมลพิษ ที่มีแนวโน้มทำเงินมหาศาลในอนาคต
สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันรัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกา "จัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2550" มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน   2551 ที่ผ่านมา หรือที่เรียกย่อว่า อบก.หรือ "TGO" (Thailand Greenhouse Gas Management Organization)
การเริ่มพัฒนาโครงการและตลาดซื้อขายปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการรับรอง รวมถึงเป็นศูนย์กลางข้อมูลดำเนินงานและให้ทุนสนับสนุนการดำเนินงานด้านก๊าซเรือนกระจก
แม้การซื้อขายคาร์บอนเครดิตจะมีข้อดีคือทำให้ประเทศพัฒนาไม่ต้องเจอค่าปรับจากพิธีสารเกียวโต ขณะที่ประเทศด้อยพัฒนาก็ได้รับการสนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีสะอาด เพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อน
แต่มีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งออกมาเตือนว่าหากประเทศกำลังพัฒนา เช่น ไทย ลาว เวียดนาม นำคาร์บอนเครดิตมาขายจนหมดสิ้น จะกลายเป็นภาระผูกพันถึงอนาคต หากมีข้อตกลงใหม่ที่กำหนดให้ประเทศด้อยพัฒนาต้องช่วยลดก๊าซเรือนกระจกด้วย ประเทศเหล่านี้ก็จะไม่มีคาร์บอนเครดิตเหลือ เพราะขายล่วงหน้าไปหมดแล้ว
ศ.ดร.สุรพงศ์  จิระรัตนานนท์ บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานกล่าวแนะนำว่า ไทยควรมีการเก็บคาร์บอนเครดิตไว้บ้าง เพราะอีก 10 ปีข้างหน้า อาจต้องถูกบังคับให้ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกเช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้นอาจไม่มีคาร์บอนเครดิตเหลือ เพราะขายล่วงหน้าให้ประเทศอื่นหมดแล้ว ราคาที่ขายได้ก็ต่ำกว่าจำนวนที่กำหนดให้จ่ายค่าปรับหลายเท่า ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องประเมินสถานการณ์ในอนาคตเผื่อไว้ด้วย นอกจากนี้ควรมีการลดการใช้พลังงานด้านอื่นพร้อมกัน เนื่องจากภาคธุรกิจไทยมีการใช้พลังงานไฟฟ้าสิ้นเปลืองอย่างมาก
ศ.ดร.สุรพงศ์ยกตัวอย่างตึกขนาดใหญ่แห่งหนึ่งย่านถนนรัชดาภิเษกว่า มีการใช้พลังงานไฟฟ้าเทียบเท่ากับเมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงของลาว เพราะต้องเปิดไฟและแอร์ตลอดทั้งวัน หน่วยงานรัฐควรใช้นโยบายเหมือนเกาหลีใต้ ที่ออกกฎข้อบังคับให้สถานที่ราชการเปิดเครื่องปรับอากาศไว้ที่อุณหภูมิ 26 องศา ส่วนที่มาเลเซียก็พยายามสร้างอาคารแบบใหม่ที่ประหยัดพลังงานจากเดิม 3-5 เท่า โดยการประหยัดพลังงานไฟฟ้าส่วนนี้อาจนำมาเป็นคาร์บอนเครดิตขายในอนาคตได้
อยากขาย"คาร์บอนเครดิต" ต้องทำอย่างไร
ต้องเป็นโครงการเกี่ยวข้องกับนโยบายช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เช่น ผลิตพลังงานทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิง แปลงขยะเป็นพลังงาน พัฒนาประสิทธิภาพการคมนาคม ลดมลพิษสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ที่เรียกกันว่า โครงการซีดีเอ็ม หรือ โครงการกลไกการพัฒนาที่สะอาด(Clean Development Mechanism : CDM)
เจ้าของโครงการประเภทกลไกการพัฒนาที่สะอาดหรือโครงการซีดีเอ็มนั้นก่อนจะตกลงซื้อขายคาร์บอนเครดิตต้องมีการขอใบรับรอง CERs (Certified Emission Reductions) จากสหประชาชาติก่อนทั้งนี้เจ้าของกรรมสิทธิ์ CERs อาจมีทั้งโรงงานไฟฟ้าเอกชน ฟาร์มหมู โครงการปลูกป่า ซึ่งเป็นตัวเจ้าของโครงการไม่ใช่รัฐบาล นอกจากรัฐบาลจะเป็นเจ้าของโครงการเอง
ขั้นตอนสำคัญในการขอใบรับรองCERs คือ
1.ยื่นโครงการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกไปที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2.เสนอโครงการให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
3.ส่งเอกสารให้สหประชาชาติรับรองเพื่อออก CERs
ขณะนี้"บริษัทบริการสิ่งแวดล้อม" (Environmetal Service) กำลังเป็นธุรกิจใหม่ที่ต่างชาติทยอยเปิดในเมืองไทย เพื่อช่วยบริษัทหรือเจ้าของโรงงานที่ต้องการเป็นโครงการซีดีเอ็ม เช่น แนะนำขั้นตอนทำเอกสารขอ "CERs" หรือช่วยเป็นที่ปรึกษาการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเช่น ให้คำปรึกษาการออกแบบโครงการ ธุรกิจตรวจประเมินและรับรองโครงการ ธุรกิจตัวกลางซื้อขายกับต่างประเทศ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทย จัดว่าเป็นเพียงการเริ่มต้น เมื่อเทียบกับ อินเดีย จีน เวียดนาม เกาหลีใต้ บราซิล และอาร์เจนตินา

จิโรจ ณ นคร ผู้จัดการธุรกิจ  บริษัทเอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งขยายไลน์จากตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพไอเอสโอ 9000 และ 14000 อีกหลายธุรกิจบริการในไทย มาสู่การ ตรวจประเมินและรับรองโครงการ (Designated Operational Entity-DOE) เครดิต คาร์บอน บอกว่า บริษัทเพิ่งเริ่มเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวในไทยเป็นปีแรก หลังจากประสบความสำเร็จในการดำเนินการในอินเดีย ซึ่งเอสจีเอสเป็นผู้ตรวจและยืนยันโครงการให้กับโรงงานอุตสาหกรรมกว่า 100 บริษัท
และในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ได้มติอนุมัติการขึ้นทะเบียน 3 โครงการแรกของไทย เพื่อให้สามารถขายคาร์บอนเครดิตตามข้อตกลงได้ คือ
1.โรงไฟฟ้าด่านช้างไบโอเอนเนอร์ยี่
2.โครงการโรงไฟฟ้าพลังแกลบ ของบริษัท เอ.ที.ไบโอเพาเวอร์ จำกัด
3.โครงการไบโอแมสของโรงไฟฟ้าขอนแก่น
สำหรับโรงไฟฟ้าขอนแก่นที่นำชานอ้อยมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้านั้น มีการประเมินว่าจะสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 5.7 หมื่นตันต่อปี หากนำคาร์บอนเครดิตมาซื้อขายจะได้ประมาณ 21 ล้านบาท

โครงการ ตั้งโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงชีวมวล 3 mw. ร่วมกับ ต้นตะกู พันธุ์ก้านแดง 4,000 ไร่ ลดภาวะโลกร้อน
ขายคาร์บอนเครดิต 10 ยูโร/ตัน
"โรงงานเก่าสามารถทำได้ แต่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีเทคโนโลยีใหม่ๆ มาลดมลพิษ ซึ่งอาจจะต้องลงทุนมากกว่า แต่ถ้าเป็นโรงงานใหม่ ก็สามารถคุยกับที่ปรึกษาได้เลยว่า เข้าข่ายที่จะทำได้หรือไม่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการไฟแนนซ์โครงการ จากรีเทิร์นที่จะกลับมาจากการขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งอาจจะคุ้มค่ากับเงินที่ลงทุนเรื่องเทคโนโลยีที่จะมาลดปฏิกิริยาเรือนกระจก"

ล่าสุดมีอีก 45 บริษัทที่เสนอขอเข้าโครงการซีดีเอ็ม เพราะราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตได้ถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงระดับ 7 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันแล้ว โครงการส่วนใหญ่ร้อยละ 50 จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีก๊าซชีวภาพ (ไบโอแก๊ส) เช่น การผลิตก๊าซจากน้ำเสีย อันดับ 2 คือด้านเทคโนโลยีชีวมวล (ไบโอแมส) ร้อยละ 25 ส่วนที่เหลือเป็นโครงการประหยัดพลังงานไฟฟ้า โครงการแปลงขยะชุมชนเป็นพลังงาน ด้านคมนาคมขนส่ง ฯลฯ
ด้าน มร.ซานดี้ มัคคินนอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท McKinnon & Clarke บริษัทที่ได้รับอนุญาตในการซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Emission Trader) สัญชาติยุโรป บอกว่า เขาได้จะเป็นบริษัทต้นๆ ที่เข้ามาดำเนินการการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในไทย โดยได้ตั้งหน่วยงานใหม่ด้านบริการสิ่งแวดล้อม (Environmental Services) ในไทย เพื่อดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเห็นว่าประเทศกำลังพัฒนาเช่นไทย มีต้นทุนต่ำหากจะลดการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จึงมีโอกาสที่จะขายคาร์บอนเครดิตจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทนให้กับประเทศที่พัฒนาแล้ว

"เราคิดว่าธุรกิจเทรดคาร์บอน เครดิต จะเป็นธุรกิจที่จะโตต่อไป นอกจากเราจะเข้ามาช่วยลูกค้าเรื่องไฟแนนซ์แล้ว ก็ยังจะเกิดประโยชน์กับสิ่งแวดล้อมในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง โดยเราจะมีซอฟต์แวร์เพื่อเข้าไปช่วยลูกค้า ช่วงนี้ถือเป็นช่วงเริ่มต้นดำเนินการ ซึ่งเราต้องแน่ใจเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล ว่าวิธีการทำงานเป็นอย่างไรก่อน" เขาระบุ

อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่า เรื่องการลงทุนลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ยังคงเป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสำหรับลูกค้าคนไทย เพราะค่อนข้างใช้เงินลงทุนสูง หากลงทุนแล้วไม่ได้รับใบรับรองเพื่อนำไปสู่การซื้อขายคาร์บอนเครดิตในอนาคต การดำเนินการต่างๆ จึงต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้เกิดความผิดพลาดน้อยที่สุด

โดยเขาระบุว่า การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ในสหภาพยุโรป มีวิธีการที่ง่าย แค่ยกบิลค่าไฟฟ้าให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดู เท่านี้ก็ได้เงินกลับคืนมา ถ้าเทียบกับในไทยที่มีความซับซ้อนมากกว่า
"การซื้อขายคาร์บอนเครดิต ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้มลพิษลดลง เพราะคนอื่นเป็นคนก่อแต่เราเป็นคนเข้าไปแก้ แต่อย่างน้อยก็ สร้างแรงจูงใจให้กับโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ในการลงทุนเพื่อลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ถ้าเขามั่นใจว่าลดแล้วสามารถนำไปซื้อขายกันได้ในอนาคต จะสร้างแรงจูงใจให้ทุกคนก็เกิดความกระตือรืนร้นที่จะทำอะไรเพื่อสิ่งแวดล้อมขึ้นมา" เขาตั้งประเด็นอย่างน่าสนใจ

"พิธีสารเกียวโต ยังไม่ทำให้เกิดการลดการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ลงอย่างมากมาย เพราะ ราคาซื้อขายยังไม่สูงพอที่จะสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลดการใช้พลังงาน หรือปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ต้องผมเชื่อว่าราคาซื้อขายในปี 2551-2555 จะสูงขึ้น จากเกณฑ์การลดปริมาณการใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะเข้มงวดมากขึ้น" เขากล่าว

ในทัศนะของเขายังเห็นว่า สาเหตุที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้ปล่อยมลพิษสูงสุดในโลก แต่กลับไม่ยอมลงนามในพิธีสารเกียวโตนั้น เพราะเกรงว่าธุรกิจจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน อเมริกา แต่สำหรับประเทศอังกฤษ ยุโรป แม้จะเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่ แต่ก็เริ่มมีการดำเนินการเรื่องนี้ ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย 
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องโลกร้อน ไม่ใช่ปัญหาส่วนตัวเฉพาะของคนใดคนหนึ่ง  เพราะขณะนี้ได้เกิดผลกระทบที่มองเห็นเป็นรูปธรรมขึ้นแล้วมากมาย   การเยียวยาดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้  เพียงแค่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ให้เพิ่มขึ้น  เพื่อฉลอผลกระทบออกไป  และรักษาโลกเพื่อส่งต่อแก่ลูกหลานเราในอนาคต